เรื่องย่อหนัง
หนัง Dunkirk หรือชื่อไทยว่า ดันเคิร์ก ภาพยนตร์เรื่อง “Dunkirk” เปิดตัวด้วยฉากที่ชาวอังกฤษและเหล่าพันธมิตรนับแสนคน ถูกกองกำลังศัตรูรายล้อมอยู่รอบตัว พวกเขาติดกับอยู่บนชายหาด เบื้องหลังคือท้องทะเล และต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้เมื่อศัตรูเข้ามาประชิดตัว ทีมนักแสดงชื่อดังในภาพยนตร์เรื่อง “Dunkirk” ได้แก่ ทอม ฮาร์ดี้ (The Revenant, Mad Max: Fury Road, Inception), มาร์ค ไรแลนซ์ (Bridge of Spies,
Wolf Hall), เคนเนธ บรานอห์ (My Week with Marilyn, Hamlet, Henry V) และซิลเลียน เมอร์ฟี่ (Inception, ภาพยนตร์ไตรภาค The Dark Knight) รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่ เฟียน ไวท์เฮด ทีมนักแสดงที่เหลือ ได้แก่ อนูริน บาร์นาร์ด, แฮร์รี่ สไตล์ส, เจมส์ ดี’อาร์ซี่, แจ็ค ลอว์เดน, แบร์รี่ คีโอแกน และ ทอม กลินน์-คาร์นีย์
ตัวอย่างหนังออนไลน์
รีวิวหนัง
Dunkirk – ดันเคิร์ก
106 min | Drama/History | Directed by Christopher Nolan
ผลงานล่าสุดจากผู้กำกับที่ดังที่สุดในยุคนี้คนนึง ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงมากในการทำหนัง และสำหรับเรื่องนี้ก็ยังอุดมไปด้วยความน่าสนใจเช่นเคย กับการหยิบยกส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่า ทหารอังกฤษกว่า 4 แสนนายต้องติดอยู่ที่แหลมดันเคิร์ก และต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากข้าศึก ทั้งที่ไล่ต้อนบนบกและโจมตีบนอากาศ ซึ่งจากที่ดูคร่าว ๆ นี่แทบหรือเป็นหนังเรื่องแรกของน้าโนแลนเลย ที่ไม่ได้เล่นกับพลอตที่ซับซ้อนอะไรมาก แต่ทว่ามาเล่นกับการเล่าแบบสับเส้นเวลาไปมา ซึ่งก็ทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้นทีเดียว
อย่างที่ทราบกันดี ดันเคิร์ก เล่าผ่านสามมุมมอง และสามเวลา หมายถึงแต่ละเหตุการณ์ใช้เวลาไม่เท่ากัน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะมาบรรจบรวมกัน ซึ่งตรงจุดนี้ผมชอบในเทคนิคของการตัดต่อและถ่ายทำมาก มันทำให้หนังดูเดือดและน่าสนใจตลอดเวลา แต่การบิวท์ด้วยเสียงดนตรีประกอบที่มากเกินไป และการที่หนังให้อารมณ์เดียวตลอดทั้งเรื่อง มันเหมือนจะดีแต่ก็เป็นดาบสองคมเหมือนกัน เพราะกลับกลายเป็นว่ากราฟมันสูงจริง แต่ก็ตรงเป็นเส้นเดียวไปตลอด ไม่กลมกล่อมเท่าที่ควรจะเป็น ตอนที่ผมดูรอบแรกสุด ผมเฉยๆ กับหนังเรื่องนี้มาก รู้สึกไม่อินเลย แต่พอได้ดูอีกรอบนึงก็มีหลายอย่างที่ตกตระกอนมากขึ้น และรู้สึกชอบหนังมากขึ้น อย่างแรกเลยคือนี่ไม่ใช่หนังสงคราม แต่มันเป็นหนังเอาชีวิตรอด (โทนส่วนใหญ่เล่าถึงการหาทางกลับบ้านของทหาร) และไม่ใช่หนังที่บีบคั้นอารมณ์มากเกินไป ในที่นี้หมายถึงไม่ฟูมฟายดราม่า แต่บีบคั้นให้เราลุ้นเอาใจช่วยกับตัวละครที่ไม่ได้ผูกพัน หรือไม่ได้รู้จักดีเท่าไหร่ รู้จักแต่แฮร์รี่ ฮ่า อย่างที่สองผมชอบในพาร์ทของการตีความ “วีรบุรุษสงคราม” ในหนังเรื่องดันเคิร์กมาก เพราะมันให้เราเห็นถึงคนที่แค่มีใจอยากช่วย กับคนที่สร้างวีรกรรมบางอย่างจริง ๆ ทุกคนเป็นวีรบุรุษได้
แม้ว่าผมจะไม่ได้ถึงกับหลงใหลในดันเคิร์กมากนัก เพราะชอบงานของโนแลนแบบที่ล้ำ ๆ กว่านี้มากกว่า แต่ก็อดบอกไม่ได้ว่า นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่อุดมไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะในงานด้านโปรดักชั่นที่มีลุ้นไปถึงออสการ์สาขาเทคนิคต่าง ๆ เด่นมาก และชูหนังให้ดูน่าสนใจสุด ๆ ผมได้รับชมหนังเรื่องนี้ในระบบ IMAX 70 มม ซึ่งต้องบอกว่ามันทำให้เราเห็นซีนดี ๆ หลายต่อหลายซีน ซึ่งผกก. ตั้งใจถ่ายออกมาเพื่อให้ชมในฟอร์แมตพิเศษนี้ และมันงดงามมาก ถึงภาพรวมผมจะเฉย ๆ กับหนัง แต่ก็ยังอยากให้หลายคนได้ดูกัน เพราะขึ้นชื่อว่าโนแลน ก็เป็นอะไรที่ต้องมีประเด็นให้พูดถึงหลังหนังจบ และเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้อยู่แล้ว จริงไหมครับ?